NEKOPOST |
การแสดงผล |
บทที่หนึ่ง: ห้องวิจียสีขาว
ตอนที่ 9 เมืองท่า
*ตึก* *ตึก*
จากที่ไกล ๆ นั้น สามารถได้ยินเสียงฝีเท้าได้
ร่างเล็ก ๆ สีขาวพร้อมกับนัยน์ตาสีแดงเพลิงนั้นกำลังเริ่มเดินเข้ามาใกล้——
「......เหวอ!?」
เวรล่ะ! นี่ชั้นหมดสติไปชั่วครู่รึ!?
ชั้นรีบลุกขึ้นยืนและสำรวจไปรอบ ๆ ชั้นสัมผัสถึงตัวตนอื่น ๆ ไม่ได้เลย
เสียงที่เข้ามาในหูชั้นนั้นไม่ใช่เสียงฝีเท้าของเด็กสาวสีขาว แต่เป็นเสียงแม่น้ำไหลที่อยู่ใกล้ ๆ
「ก-เกิดอะไรขึ้นกันนะ....」
ชั้นกระโดดลงบ่อน้ำที่อยู่ปลายทางของบันไดวนอย่างไม่ลังเลเลย
ชั้นได้ยินเสียงน้ำไหลข้างใต้บ่อน้ำ แล้วก็หวังว่ามันอาจจะมีทางน้ำใต้ตินที่เชื่อมต่อออกไปข้างนอกได้
แผนนั้นสำเร็จลงอย่างงดงาม และตอนนี้ชั้นก็ยืนอยู่บนพื้น
ถึงอย่างนั้น ชั้นก็กลัวว่ามันอาจจะเป็นทางน้ำใต้ดินยาวไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด
แล้วตอนที่ชั้นกระโดดลงไปในบ่อ มันก็มืดสนิท น้ำเองก็เย็นมากเลยด้วย
ตามที่ชั้นไหลไปตามกระแสน้ำชั้นเกือบจะเสียความมั่นใจไปเพราะกระสับกระส่ายกับความกลัวซะแล้ว
แต่โชคดี ในที่สุดทางน้ำใต้ติน (หรือควรจะเรียกมันว่าถ้ำดีนะ) ก็ขยายออกในซักที่ ที่แสงแดดส่องถึง
และชั้นก็สลบไปหลังจากที่ตะเกียกตะกายขึ้นมาริมฝั่งแม่น้ำได้
「อาา ข้างนอกล่ะ」
ดวงอาทิตย์บนฟากฟ้าที่ส่องสว่างอยู่เหนือหัว แม่น้ำพัดผ่านด้านข้าง และรอบข้างก็ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ทึบ
เลยไปอีกก็สามารถมองเห็นภูเขาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่
ชั้นนั้นอยู่ในธรรมชาติและความเขียวชอุ่มเต็ม ๆ เลย
「สำเร็จ ในที่สุดชั้นก็เป็นอิสระ——」
พร้อมกับเสียงแกร่ก ๆ และพุ่มไม้ใกล้ ๆ สั่นไหว
ชั่วครู่หนึ่ง หัวใจชั้นเต้นระรัวขึ้น แล้วก็เริ่มเหงื่อออกอย่างไม่สบายใจ
สิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดชั้นนั้นคือใบหน้าที่เฉยชาของซาริเอล
「......」
ที่ปรากฏออกมานั้นคือสัตว์ตัวหนึ่งที่คล้ายกับกวางสุด ๆ บางทีมันอาจจะมากินน้ำที่แม่น้ำ
พอดูดี ๆ ในทิศทางนั้น มีอีกหลายตัวอยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน
จะว่าไป ที่ชั้นจงใจบอกว่ามัน ‘เหมือนกับกวาง’ นั่นก็เพราะ ชั้นมั่นใจเลยว่ามันไม่ใช่กวางแน่ ๆ
เจ้าสัตว์ที่ดูเหมือนกวางตัวนี้มีเขาสามเขาโอ่อ่าที่มีสีเขียว สัตว์แฟนตาซีที่ไม่มีอยู่ในโลกของชั้น
ก็นะ ถ้ามันวิวัฒนาการตัวเองในโลกนี้ บางทีกวางแบบนั้นอาจจะเกิดมาได้ก็ได้
ยังไงซะ ที่นี่มันก็เป็นโลกเวทมนต์ ที่ขนาดมังกรพ่นไฟก็ยังมีอยู่เลย
จะว่าไปแล้ว ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน(ダーウィンの進化論)[1]นั้นใช้ได้กับในโลกนี้มั้ยนะ?
「ไม่ไม่ไม่ ก่อนจะพูดเรื่องนั้น ชั้นต้องหนีไปจากที่นี่ให้ไกลที่สุดก่อน」
ชั้นก็ค่อนข้างจะอ่อนแรงอยู่แต่แผลที่ซาริเอลมอบให้มานั้นก็เริ่มรักษาตัวแล้วไม่มากก็น้อย
เพราะงั้นการเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ นั้นไม่ใช่ปัญหา
ในเวลาอย่างนี้ ชั้นล่ะขอบคุณร่างที่ถูกดัดแปลงมาจนทนทานอย่างเหลือล้นนี่เลย
แต่ว่า ถึงจะมีร่างแบบนี้ ก็ยังมีคนที่เหนือกว่าพวกมอนสเตอร์ที่ชั้นเผชิญหน้าด้วยไม่ได้อยู่
บางที คนแบบนั้นอาจจะมีอยู่ทั่วทุกมุมโลกเลยก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น
มันจะอันตรายถ้าประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป
ถ้าคนแบบนั้นรวมหัวกันมาล่าชั้น ชั้นก็จบแน่
ที่ไหนจะปลอดภัยนะ? ควรไปที่ไหนดี? นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่ยังไม่รู้
แต่อย่างน้อยก็ต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้จากโรงงานนั่น
「ไปละ」
โดยที่ไม่มีตัวนำทางหรือรู้ทิศทางเลย ชั้นตัดสินใจจะล่องไปตามแม่น้ำจากจุดนี้
ด้วยความกลัวจากความจริงที่ว่าชั้นยังถูกซาริเอลไล่ล่าอยู่
ทำให้ขาทั้งคู่ของชั้นก้าวต่อไปถึงแม้พลังกายจะหมดไปแล้ว
ชั้นเดินต่อไปเป็นเวลา 3 วัน 3 คืนติดต่อกันผ่านป่าและภูเขา
แล้วก็หยุดแค่ตอนปวดห้องน้ำกับดื่มน้ำจากแม่น้ำเท่านั้น
ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าทำแบบนี้มันอาจจะทำให้ท้องผูก แต่สำหรับชั้นที่อยู่มากับซุปห่วย ๆ พวกนั้น
น้ำสะอาดของแม่น้ำนั้นอร่อยมาก ท้ายที่สุดแล้วชั้นก็ไม่ได้ท้องผูก
แต่มันก็ล้าอยู่หน่อย ๆ เพราะกินน้ำเข้าไปมากเกินไป แล้วตอนที่ชั้นถูกมอนสเตอร์ที่คล้ายกับหมาหรือหมาป่าจู่โจม
ชั้นก็ไล่พวกมันไปด้วยกระสุนลูกปรายกับไรเฟิล แต่ก็ไม่ได้ไล่ตามพวกมันไปจนไกล
และในค่ำคืนของวันที่สี่
「........แสงล่ะ」
ข้างหน้า ชั้นมองเห็นแสงจากที่อยู่อาศัยของผู้คน
พอมองเห็นแสงชั้นก็เริ่มวิ่งด้วยความดีใจ แต่ในระหว่างนั้นชั้นก็คิด
「รอเดี๋ยว มันอาจจะเกี่ยวข้องกับพวกสวมหน้ากากนั่นด้วยก็ได้นะ」
บางทีอาจจะเป็นพวกนักวิจัย หรือที่แย่ที่สุด ซาริเอลเองก็อาจจะอยู่ตรงนั้น
ชั้นไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกนี้ นอกจากว่ามันมีมอนสเตอร์กับเวทมนต์
แล้วยิ่งกว่าที่ไม่ได้รู้สีรู้สาอะไร สภาพร่อแร่แบบนี้คงจะดึงดูดความสนใจจากผู้คนแน่นอน
ได้รับความสนใจนั้นแปลว่าโดดเด่นในที่สาธารณะ
ในฐานะที่เป็นผู้หลบหนี ชั้นอยากจะเลี่ยงเรื่องแบบนั้นอย่างที่สุด
แล้วนี่มันก็อย่างกับว่าเป็นการคิดในแง่ร้าย แต่มันก็มีโอกาสที่ชั้นจะถูกตั้งค่าหัวแล้ว
ในฐานะตัวทดลอง ชั้นก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีค่าสำหรับพวกสวมหน้ากากมากขนาดไหน
ถ้านี่เป็นโครงการขนาดใหญ่ระดับประเทศ พวกมันคงจะตามล่าชั้นไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหน
ง่าย ๆ ก็คือ มันจะอันตรายสำหรับชั้นที่จะไปติดต่อดับใครในโลกนี้อย่างไม่ระมัดระวัง
ตอนที่ชั้นคิดอยู่แบบนั้น เมืองก็เข้ามาสู่วิสัยทัศน์
ฝืนข่มความอยากจะเจอกับคนอื่น ๆ ไว้ ชั้นสูดหายใจลึกแล้วตัดสินใจจะแทรกซึมเข้าไปในเมือง
เมืองนี้เป็นเมืองท่า รอบล้อมไปด้วยกำแพงหิน กลิ่นเกลือเค็ม ๆ ล่องลอยอยู่ในอากาศ
ชั้นได้ข้อสรุปมาแบบนี้หลังจากมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาระหว่างประตู และเดินไปรอบ ๆ อย่างไม่ถูกทหารคนไหนสงสัย
และชั้นก็ยืนยันได้ว่าอารยธรรมของโลกนี้นั้นอยู่ในสมัยยุคกลาง
กำแพงหินบางทีอาจจะถูกทิ้งเอาไว้เพราะด้วยเหตุผลด้านวัฒนธรรม แต่มันก็ถูกใช้อยู่อย่างต่อเนื่อง
ถนนนั้นไม่ได้ทำมาจากยางมะตอย ผู้คนสวมเกราะที่มีหอกถือในมือ
แสงในยามค่ำคืนนั้นมาจากไฟในตะเกียงและอื่น ๆ ไม่มีสิ่งของทันสมัยที่ชั้นคุ้นเคยอยู่เลยแม้แต่อย่างเดียว
จากตอนที่ชั้นอยู่ในโรงงานวิจัยนั่น ก็คิดเอาไว้อยู่ว่าอาจจะเป็นแบบนั้นเพราะมันไม่มีไฟฟ้าเลย
แล้วพวกมอนสเตอร์ก็ใช้อาวุธเป็นดาบและธนู
แต่หลังจากได้เห็นเมืองแบบเป็น ๆ แล้ว ที่ชั้นคิดไว้ดูเหมือนว่ามันจะถูกนะ
「ที่นี่เป็นต่างโลกจริง ๆ สินะ.........」
ชั้นรู้สึกสิ้นหวังอยู่หน่อย ๆ ตอนที่ย่องเข้าไป แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามากังวลเพราะกระสับกระส่ายอยู่ในใจหรอก
ชั้นจะหาทางกลับไปที่โลกของตัวเองหลังจากปักหลักลงที่ไหนซักที่ ที่ห่างไกลจากที่นี่แล้ว
ชั้นเลิกคิดและกลับมาเรื่องเมืองที่อยู่ตรงหน้า
ความจริงที่ว่าเมืองนี้เป็นเมืองท่านั้นอาจจะดีสำหรับชั้นไปเลย
แทนที่จะท่องไปตามแผ่นดิน ชั้นสามารถไปได้ไกลกว่าและเร็วกว่าผ่านทางทะเล
อย่างน้อย ในโลกที่เครื่องบินไม่น่าจะมีอยู่ เรือนั้นถือเป็นวิธีเดินทางที่เร็วที่สุด
แน่นอน ถ้ามันไม่มีอุปกรณ์เวทมนต์ที่สามารถทำให้วาร์ป(ワープ)หรือเทเลพอร์ต(テレポート)ได้น่ะนะ
ยังไงซะ สำหรับชั้นที่ไม่มีจุดมุ่งหมายอื่นนอกจากไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรือนั้นถือเป็นสิ่งที่ดึงดูดมาก
ที่นี่ ไม่ว่าจะด้วยยังไงก็ตาม ชั้นอยากจะขึ้นเรือ ที่จะไปจากที่นี่ที่ไกลที่สุด
แน่นอนว่าชั้น ผู้ที่ไม่สามารถติดต่อกับใครได้ แล้วก็ไม่มีเงินนั้น ไม่มีความตั้งใจจะขึ้นเรือแบบธรรมดา ๆ อยู่แล้ว
หรือง่าย ๆ ก็คือ ชั้นจะลักลอบขึ้นเรือ
「โย๊ช ในเมื่อตัดสินใจจุดมุ่งหมายแล้ว รีบไปที่เมืองก่อนดีกว่า」
พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนอยู่ใกล้ ๆ ชั้นก็เอามือทาบกำแพง
ที่กำแพงหินต่อกันสูงเป็นเส้นตรงเป๊ะ ๆ ไม่มีที่ให้ชั้นวางขาได้
นั่นแปลว่าถึงตาเวทมนต์ดำที่พึ่งพาได้แล้ว
ชั้นแปลงพลังเวทดำเป็นสิ่งคม ๆ ตรงมือและเท้า
ถ้าเอาจริง ชั้นสามารถผ่าเกล็ดมังกรได้เลย เพราะงั้นการเฉือนกำแพงหินนั้นถือเป็นเรื่องสบาย ๆ
เช่นนั้นแล้ว ชั้นก็เริ่มท้าทายการปีนกำแพงเป็นครั้งแรก
กงเล็บที่แข็งแกร่งยึดกับปลายนิ้วนั้นเฉือนลงไปในกำแพงหินอย่างกับเอามีดผ่ากระดาษแข็ง
คล้าย ๆ กัน ขาชั้นเองก็เสียบเข้าไปแล้วยึดกับกำแพงได้ง่าย ๆ
「โอ้ เมื่อกี๊ชั้นนี่เหมือนกับนินจา(忍者)เลยไม่ใช่ไง?」
ในขณะที่รู้สึกเช่นเดียวกับว่า เป็นเหมือนกับพวกที่กลืนหายไปในความมืด ชั้นก็ปีนกำแพงเสร็จ
ถ้าชั้นยืนบนกำแพงแล้วโพสต์ท่าหน่อย ชั้นรู้สึกว่าจะต้องถูกพบเข้าแน่ ๆ
ในขณะที่ย่อตัวลงชั้นก็มองไปภายในตัวเมือง
「โอ๊ว ถึงจะคิดไว้อยู่แล้วก็เถอะ กะแล้วว่ายอดไปเลยนะ......」
ภายในเมือง ภูมิทัศน์นั้นคล้ายกับยุโรปในสมัยโบราณที่สามารถเห็นได้แค่ในหนังกับอนิเมะ
ด้วยสายตาที่ดีกว่าเดิม ชั้นก็มองเห็นตอนกลางคืนอย่างชัดเจนได้เช่นกัน
เพราะงั้นชั้นจึงเห็นตัวเมือง ถึงแม้จะเป็นตอนกลางคืนที่มืดมิดได้อย่างสมบูรณ์
บ้านสีขาวเรียงเป็นแถว ถนนเส้นหลักที่ใหญ่ที่สุดนั้นทำขึ้นมาจากหิน
และก็สามารถมองเห็นร้านค้าที่มีตะเกียงเปล่งแสงออกมา
ช่วงกลางวัน ถนนต้องเต็มไปด้วยรถม้าขนสินค้าวิ่งไปมาขวักไขว่แน่ ๆ
และที่ใจกลางเมืองมีโบสถ์ที่มีหลังคาสูงที่สุด หากเดินไปตามถนนหลัก
ก็คงจะถึงท่าเรือที่มีเรือมากมายกำลังทอดสมออยู่
ตอนนี้เป็นตอนกลางคืน เพราะงั้นจึงไม่เห็นคนมากมายบนถนนหลัก
บริเวณที่อยู่อาศัยเองก็เงียบสงัดพอดับไฟแล้ว
「ไปท่าเรือเนี่ย เลียบไปตามแนวผนังก็ฟังเข้าท่าดีนะ」
หลังจากจำภาพกว้าง ๆ ของเมืองได้ ชั้นก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางคร่าว ๆ ไปยังท่าเรือ
แล้วก็กระโดดลงจากกำแพง
ถ้าเป็นความสูงระดับบันไดวนนั่นก็คงจะอันตราย แต่ความสูงประมาณ 5 เมตรนั้น ไม่ใช่ปัญหาอะไร
ด้วยเสียง *ตุบ* ทึบ ๆ ชั้นก็ลงมาบนพื้นและรีบออกไปจากตรงนั้น
ในขณะที่เพ่งความระวังในระดับสูงสุด ชั้นก็รีบวิ่งไปตามตรอกของพื้นที่อยู่อาศัย
---------------------------------------------------------------------------------------
แปะหน้าสารบัญ จอมมารดำ ฉบับ Light Novel เล่ม 1 ครับ
-
プロローグ..........อารัมภบท
異世界..........ต่างโลก
妖精..........แฟรี่
冒険者..........นักผจญภัย
戦慄..........ความกลัว
炎上..........ลุกโชติช่วง
エピローグ..........ปัจฉิมบท
あとがき..........คำส่งท้าย
-
ซึ่งตามที่ผมดู คิดว่าน่าจะเท่ากับ 5 บท(68 ตอน)ของ Web Novel ครับ
---------------------------------------------------------------------------------------
ดาร์วินได้คิดค้นทฤษฏีวิวัฒนาการของพืชและสัตว์และยังให้คำอธิบายว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเกิดขึ้นเพราะการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ในการต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอด
โดยผู้ที่อยู่รอดคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดหรือแข็งแรงที่สุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การคัดเลือกตามธรรมชาติเป็นกลไกสำคัญของวิวัฒนาการของสรรพสิ่ง โดยผู้ที่อยู่รอดคือผู้ที่แข็งแรง/เหมาะสม
หัวใจหลักความสำคัญของทฤษฏีวิวัฒนาการนั้นมีอยู่ 6 หลักได้แก่
1. การสืบพันธุ์ หน้าตาเหมือนแม่แตกแต่จากสปีชีส์
2. ปริมาณเผื่อเลือก ลูกทุกตัวไม่อาจรอดชีวิตอยู่ได้ทั้งหมด
3. ความผิดแผก ลูกหลานทุกตัวมีความผิดแผกเล็กน้อย
4. การคัดเลือกโดยธรรมชาติ คุณลักษณะเฉพาะตัวบางอย่างช่วยชีวิตดำรงสืบต่อไป
5. วิวัฒนาการ ลักษณะพิเศษที่ปรับให้เหมาะกับกาลเวลา
6. จุดกำเนินของสปีชีส์ สปีชีส์ที่ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้จะรอดชีวิต
ทฤษฏีวิวัฒนาการของดาร์วินก็ยังมาท้ายความเชื่อที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง เพราะว่าทฤษฏีวิวัฒนาการมองว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้นจากการดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด
โดยจะวิวัฒนาการหรือปรับเปลี่ยนสภาพตัวเองและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับตัวเองยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
เช่น กรณียีราฟ จะอธิบายตามทฤษฏีดาร์วินได้ว่ายีราฟมีบรรพบุรุษที่คอสั้น แต่เกิดมีการเปลี่ยนแปลงที่มีคอยาวขึ้น ซึ่งสามารถหาใบไม้ได้ดีกว่าและถ่ายทอดลักษณะที่คอยาวไปสู่ลูกหลานได้
ส่วนพวกที่คอสั้นนั้นหาอาหารได้ไม่ดีหรือแย่งอาหารสู้พวกคอยาวไม่ได้ในที่สุดมันก็ตายไป ทำให้ในปัจจุบันนั้นมีแต่ยีราฟคอยาวเท่านั้นที่อยู่รอด
ในทฤษฏีก็สามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจำวันได้หลายอย่าง เช่น คนตาบอด ต้องอยู่ในสังคมได้ ก็เพื่อการอยู่รอดของเขา
หรือการประกวดร้องเพลง คนที่เก่งร้องเพลงไพเราะได้ดีก็เพราะเขาได้มีการฝึกทักษะที่ดี เขาจึงเป็นผู้ชนะ
หรืออาจจะเป็นการปรับตัวของสัตว์อีกัวน่าที่ต้องปรับเปลี่ยนสีให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพื่อหลบหนีศัตรูให้มันมีความอยู่รอดของตัวมันเอง
ถ้านำทฤษฏีวิวัฒนาการมาปรับใช้กับสังคมความเชื่อ หรือค่านิยมของสังคม มันก็อาจเปรียบเสมือนวัฒนธรรมที่ถูกถ่ายทอดต่อ ๆ กันไป
คล้าย ๆ กับข้อมูลที่อยู่ในยีนที่จะต้องถ่ายทอดจากบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลานให้เป็นไปในรูปแบบของมันที่สมบูรณ์ให้มีวิวัฒนาการที่ดีขึ้น
วิวัฒนาการนั้นมันขึ้นอยู่กับว่า ตัวเรานั้นจะเป็นผู้กำหนดหรือนำมาปรับเปลี่ยนพลิกแผกวิธีการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
และบทความทฤษฏีวิวัฒนาการนี้คงจะหวังว่าทุกคนจะนำทฤษฏีมาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตในสังคมให้สมบูรณ์แบบได้ดีขึ้น